ลดริ้วรอยแห่งวัย : โบท็อกซ์


      กาลเวลาเปลี่ยนไปไม่สามารถเรียกคืนได้ แต่เราสามารถชะลอความอ่อนเยาว์ให้อยู่กับเราเท่าที่ใจต้องการมหัศจรรย์ใหม แพทย์ทั่วโลกยอมรับในการลดเลือนริ้วรอย Botulinum Toxin หรือเราเรียกว่า โบท็อกซ์ (Botox) รอยย่น บนใบหน้า เกิดจากการแสดงออกของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์เครียด หรือ การยิ้มโดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่มีการแสดงออกทางอารมณ์หลากหลาย เป็นผลทำให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้ามากขึ้น แต่คุณไม่ต้องกังวลกับปัญหานี้อีกต่อไป

โบท็อกซ์ (Botox)มีหลักการอย่างไร?
ในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนายาที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายว่า สามารถยับยั้งการเกิดริ้วรอยบริเวณใบหน้า ที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โบท็อกซ์ (Botox) จะไปยับยั้งการส่ง กระแสประสาทของเส้นประสาทเล็กๆ ที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อเป็นผลทำให้กล้ามเนื้อลดการเกิดการหดตัว ริ้วรอยลดลง ผิวเรียบเนียนขึ้น ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ นอกจากนี้ยังมีความสามารถควบคุมต่อมเหงื่อ การทำให้ใบหน้าเรียว โดยยับยั้งการทำงานที่มากเกินไปของกล้ามเนื้บริเวณกราม

โบท็อกซ์ (Botox) ปลอดภัยและมีผลข้างเคียงอย่างไร ?
การฉีด โบท็อกซ์ (Botox) ได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายเป็นเวลานานกว่า 10 ปี มาแล้ว เพื่อรักษาโรคทางตาและโรคทางระบบประสาทอื่นๆ ต่อมาได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการชะลอริ้วรอยแห่งวัย ซึ่งได้ผลดี และปลอดภัย หลังการฉีด โบท็อกซ์ (Botox) อาจมีรอยช้ำได้เล็กน้อยและสามารถหายได้เอง

 โบท็อกซ์ (Botox) เห็นผลเมื่อไหร่ ?
การฉีด โบท็อกซ์ (Botox) เป็นการลดเลือนริ้วรอยเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ซึ่งมีผลการรักษาประมาณ 3-6 เดือน และมารับการฉีดประมาณ 2-4 ครั้งต่อปี โดยหากมีการฉีดกระตุ้นในระยะเวลาที่เหมาะสม อาจได้ผลการรักษาที่คงอยู่นานกว่าเดิม และหลังการฉีดไปแล้วจะเห็นผลภายใน 1 อาทิตย์ อีกทั้งใบหน้ายังดูสดใสอ่อนเยาว์อีกด้วย

โบท็อกซ์ botox

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ฉีดโบท็อกซ์" ระวังตาเหล่



"ฉีดโบท็อกซ์" วิธีทำสวยด้วย "สารพิษ" ที่หลายคนไม่คิดว่า จะอันตรายถึงขั้นทำให้ใบหน้าผิดรูปหรือตาเหล่ได้

อาจ เป็นเพราะปัจจุบันมีคลินิกเพื่อความสวยความงามผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดและความ นิยมในการทำศัลยกรรมที่แพร่หลาย จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา ทำให้หลายคนคุ้นชินกับคำว่า "ฉีดโบท็อกซ์" ซึ่งฟังดูไม่น่าอันตรายหรือส่งผลข้างเคียงได้เหมือนกับการผ่าตัดศัลยกรรม อีกทั้งขั้นตอนการฉีดก็ใช้เวลาเพียง 10-15 นาที และไม่ต้องนอนพักที่โรงพยาบาลด้วย

แต่เรื่องจริงของการฉีดโบท็อกซ์ นั่นก็คือ การฉีดสารพิษ ที่เรียกว่า "โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ"(Botulinum toxin type A) ซึ่งเป็นโปรตีนที่สร้างจากแบคทีเรีย ชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum)เข้าสู่ร่างกาย โปรตีนนี้คือสารพิษตัวที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ นับเป็นพิษที่ร้ายแรงชนิดหนึ่ง หากร่างกายมนุษย์ได้รับเข้าไปจะเกิดอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ และถ้ารับในปริมาณมากอาจเกิดภาวการณ์หายใจล้มเหลว เพราะกล้ามเนื้อในการหายใจหมดแรงหรือเป็นอัมพาต และเสียชีวิตในที่สุด

ขณะ ที่ในทางเสริมสวยถือเอาคุณสมบัติในการทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตของสารพิษ ดังกล่าว มาเป็นตัวช่วยทำให้ใบหน้าเต่งตึงไร้รอยเหี่ยวย่นและตีนกา โดยดัดแปลงใช้ในปริมาณเล็กน้อย ฉีดเข้ากล้ามเนื้อเฉพาะที่ซึ่งมีผลให้กล้ามเนื้อคลายตัวและรอยย่นหายไป วิธีนี้เรียกกันว่า ฉีดโบท็อกซ์ ซึ่งเห็นผลเร็วคือภายใน 3-4 วัน และเห็นผลชัดเจนภายใน 10-14 วันเท่านั้น แต่ก็ออกฤทธิ์อยู่เพียง 4-6 เดือน

อย่าง ไรก็ตาม แม้การเสริมความงามด้วยวิธีดังกล่าวจะเห็นผลในเวลาไม่นานนัก แต่ข้อเสียก็คือ การฉีดโบท็อกซ์จะมีฤทธิ์อยู่ได้เพียง 4-6 เดือน กล้ามเนื้อจะกลับคืนสู่สภาพเดิม นั่นหมายถึง รอยเหี่ยวย่นและตีนกาก็จะกลับมาปรากฎใหม่ และหากฉีดบ่อยเกินไป ก็จะทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตถาวรได้

นอกจากนี้ ความเสี่ยงของการเสริมสวยด้วยการฉีดโบท็อกซ์ ก็คือ อาจเกิดอาการเจ็บปวดตรงตำแหน่งที่ฉีดยา ติดเชื้อ หรือฉีดยาแล้วไม่ได้ผลตามต้องการซึ่งอาจเกิดจากการฉีดยาผิดตำแหน่งหรือยากระ จายไปยังกล้ามเนื้อที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น ต้องการฉีดให้รอยเหี่ยวย่นบนหน้าผากหายไปแต่ยากลับกระจายไปที่กล้ามเนื้อที่ ทำหน้าที่ยกหนังตาขึ้น ส่งผลให้กล้ามเนื้อนั้นเป็นอัมพาต ไม่สามารถลืมตาได้ ซึ่งที่ผ่านมามีหลายกรณีที่เกิดความผิดพลาดจนทำให้ผู้ที่ได้รับโบท็อกซ์มีใบ หน้าผิดรูป ตาเหล่ และตาเข

ขณะที่ไม่นานมานี้เริ่มมีการรายงานถึง การ แพร่กระจายของ Botox เข้าไปยังระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งแต่เดิมไม่มีใครทราบว่ายานี้จะสามารถกระจายจากตำแหน่งที่ฉีดบริเวณผิว หนัง เข้าไปยังระบบประสาทส่วนกลางได้ และแม้ปัจจุบันจะยังไม่พบอันตรายในระดับนี้จากการฉีดในคน แต่ความผิดพลาดที่เกิดจากการฉีดโบท็อกซ์หลายครั้งหลายคราวก็ส่งผลให้ใบหน้า หรือร่างกายผิดรูปได้ง่ายๆจากการฉีดผิดตำแหน่ง



ที่มา http://news.voicetv.co.th/

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ถามใจตัวเอง ก่อนทำศัลยกรรม



ถามใจตัวเอง ก่อนทำศัลยกรรม (สยามดารา)

         สมัยนี้ใครๆ ก็อยากมีรูปร่างหน้าตาสวยงามกันทั้งนั้น ต่างก็หาหนทางเสริมความงามให้ตนเองดูดีเป็นที่พึงพอใจและปัจจุบันก็มีหลายหน ทางที่จะช่วยตามความต้องการได้มากมาย

          ศัลยกรรมความงาม (cosmetic surgery) ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยสร้างเสริมรูปลักษณ์ที่ดีได้ แต่ก่อนที่คิดจะสวยด้วยแพทย์ คุณควรสำรวจตัวเองก่อนว่าพร้อมแค่ไหน ที่จะรับข้อดีข้อเสียของที่เกิดขึ้น

          ก่อนอื่นอย่าเพิ่งตัดสินใจทำศัลยกรรม หากกำลังตกอยู่ในช่วงอารมณ์บอบช้ำ เช่น เพิ่งอกหัก โศกเศร้า เสียใจ โดนไล่ออก หรือแค่รู้สึกอยากสวยเหมือนดาราคนนั้นๆ เพราะบางทีคุณอาจไม่ได้อย่างที่หวังไว้

อย่าคิดทำศัลยกรรม ถ้า...

         - คุณยังไม่ได้คิดถึงผลข้างเคียงหรือผลลัพธ์ที่จะตามมา ความเจ็บปวด เงินทองจำนวนมากที่ต้องสูญเสีย การพักฟื้นหลังผ่าตัดซึ่งต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าอาการอักเสบบวมแดงจะ บรรเทา ไม่ได้ผ่าปุ๊บแล้วจะสวยเช้งวับได้ภายในหนึ่งชั่วโมงนะคะ
          - คุณมองเห็นแต่จุดด้อยของตัวเองเวลาส่องกระจกรึเปล่า หรือมีคนติว่าตรงนี้ไม่ค่อยสวยนะต้องไปทำเพิ่ม แล้วคุณก็บ้าจี้เชื่อเขา!
 
          - สุขภาพของคุณแข็งแรงดีหรือเปล่าลองเช็กร่างกายของคุณให้แน่นอนเสียก่อนนะคะ ว่า สุขภาพของคุณยังฟิตเปรี๊ยะพอที่จะรับการผ่าตัดได้รึเปล่า อิอิ

           - ถ้าคุณยังไม่ได้ดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด เช่น ออกกำลังกายเป็นประจำ หรือเอาใจใส่บำรุงผิวพรรณอย่างจริงจัง

           -อย่าเพิ่งลืมด่วนตัดสินใจทำนะคะ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจทำให้คุณดูดีขึ้นได้โดยไม่ต้องพึ่งแพทย์เลยล่ะค่ะ

แต่ถ้าหาคำตอบเหล่านี้ให้ตัวเองได้ เช่น

          -ตัดสินใจทำศัลยกรรมด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพราะได้รับอิทธิพลจากใคร

          -ไม่ได้อยากเป็นเหมือนใคร แค่อยากให้ตัวเองดูดีขึ้นเท่านั้น

         - เข้าใจดีเรื่องการผ่าตัด, ผลแทรกซ้อน, การพักฟื้นหลังผ่าตัดรวมถึงผลที่ได้รับหลังการผ่าตัดว่าจะใกล้เคียงกับความ คาดหวังที่เราต้องการได้รับหรือไม่

          - คุณเป็นคนแข็งแรง มีสุขภาพดี และน้ำหนักตัวไม่มากเกินไป

          - ปรึกษาแพทย์ และได้ศึกษารายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการทำศัลยกรรมความงามดีแล้ว
    
          อ่านข้อหลังๆ และเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว คุณก็เป็นอีกคนหนึ่งที่น่าจะพร้อมสำหรับการทำศัลยกรรมความงาม
    
          แต่ไม่ว่าคุณจะฟังความคิดเห็นจากใครก็ตาม ผลการเปลี่ยนแปลงที่ได้รับก็จะเกิดขึ้นกับตัวคุณเองนั่นแหละไม่ใช่ใครอื่นเลย ….


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศัลยแพทย์ตกแต่งช่วยอะไรท่านได้บ้าง


ศัลยกรรม

          ชาวบ้านทั่วไปมักจะเข้าใจว่าศัลยกรรมตกแต่งก็คือศัลยกรรมที่ทำแต่เฉพาะตาสองชั้น เสริมจมูก ดึงหน้า ดูดไขมัน เป็นต้น แต่โดยความเป็นจริงแล้ว ศัลยกรรมตกแต่งเป็นศัลยกรรมที่มีขอบข่ายในการผ่าตัดดูแลรักษาผู้ป่วยค่อน ข้างกว้างขวางมาก รวมทั้งการแก้ไขความพิการแต่กำเนิด เช่น ปากแหว่ง เพดานโหว่ เกิดมามีใบหน้าผิดรูป ศัลยกรรมทางมือในผู้ป่วยอุบัติเหตุ ความพิการปกติทางมือแต่กำเนิด การดูแลรักษาผู้ป่วยที่ถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก การดูแลรักษาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งที่คอ ปาก ผิวหนัง ผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุมีบาดแผลที่หน้า และกระดูกหน้ากรามหัก 
          ทางด้านจุลศัลยกรรม การผ่าตัดด้วยกล้องจุลทรรศน์ เช่น การต่อนิ้วมือ รวมทั้งการย้ายเนื้อเยื่อจากที่หนึ่งไปปิดอวัยวะอื่นที่เนื้อขาดหายไป โดยการต่อเส้นเลือดและเส้นประสาท และสาขาสุดท้ายเป็นศัลยกรรมเสริมสวย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน ของศัลยแพทย์ตกแต่งและเสริมสร้าง 

          การทำศัลยกรรมเสริมสวยให้ได้ผลดี และมีการพัฒนาวิธีการผ่าตัดใหม่ๆ ได้ แพทย์ควรจะได้รับการฝึกอบรมในด้านศัลยกรรมตกแต่งและเสริมสร้างให้ครบทุกสาขา วิชาที่แพทยสภากำหนด และได้รับวุฒิบัตร หรืออนุมัติบัตร รับรอง ความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาศัลยศาสตร์ตกแต่ง

          โดยสรุป ศัลยกรรมตกแต่ง แบ่งเป็นสาขาได้ 7 สาขาวิชา 

          สาขาที่ 1 ศัลยกรรมที่แก้ไขความพิการแต่กำเนิด เช่น ปากแหว่ง เพดานโหว่ ใบหน้าผิดรูป

          สาขาที่ 2 ศัลยกรรมทางมือ เช่น ผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุ ทางมือจากโรงงาน รถยนต์

          สาขาที่ 3 ได้แก่ การรักษาผู้ป่วยที่ถูกไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

          สาขาที่ 4 ได้แก่ การรักษาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งที่หน้าและคอ

          สาขาที่ 5 การดูแลผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บกระดูกหักที่หน้า ส่วนใหญ่จากอุบัติเหตุรถยนต์

          สาขาที่ 6 ได้แก่ จุลศัลยกรรม การผ่าตัดด้วยกล้องจุลทัศน์ เช่น การต่อนิ้วมือผู้ป่วย

          สาขาที่ 7 ได้แก่ ศัลยกรรมเสริมสวย และความงาม


ขอขอบคุณข้อมูลจาก สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

อัพเดทเทรนด์ความงามมาแรง รับต้นปี


ศัลยกรรม

4 Beauty Trends อัพเดทเทรนด์ความงามมาแรงรับต้นปี (เฮลธ์ พลัส)

           ถึงแม้ว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร เศรษฐกิจจะแปรปรวนไปแค่ไหน แต่สิ่งที่ทุกคนต่างก็ให้ความสำคัญ คงหนีไม่พ้นเรื่องความสวยความงาม ยิ่งทุกวันนี้บ้านเราดารานักร้องเข้ามามีอิทธิพลกับการกำหนดเทรนด์ จนเกิดกระแสเลียนแบบการแต่งตัว ท่าทาง ไม่เว้นแม้แต่การศัลยกรรมให้เหมือนคนดังมากที่สุด

           ร่าย มาซะยาว รวม ๆ แล้วกำลังจะบอกว่าฉบับนี้เรามีเทรนด์ความงามฮอต ๆ มานำเสนอ 4 แบบ 4 สไตล์จากปากของแพทย์ความงามแถวหน้าฟันธงกันแบบเห็น ๆ ให้รู้กันไปว่าเทรนด์ทั้ง 4 นี้จะแรงรับต้นปีนี้แน่ ๆ

            ริมฝีปากบางน่าจูจุ๊บอินเทรนด์ระดับ Korean Star

           ผศ.นพ.รนชัย โคมทอง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่ง ประจำ ณรวี คลินิก เผยว่า การตกแต่งริมฝีปากให้มีรูปร่างเล็กสวยรับกับใบหน้าเพิ่มขึ้น และการผ่าตัดลดขนาดริมฝีปาก ส่วน ใหญ่ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดจะเป็นผู้ที่มีริมฝีปากหนากว่าปกติและกลุ่มที่ ริมฝีปากบนกับล่างหนาไม่เท่ากันทำให้ไม่มั่นใจ จึงต้องการปรับให้เกิดสมดุล เพื่อรับกับใบหน้า

           โดยธรรมชาติของคนเราริมฝีปากบนควรบางกว่าริมฝีปากล่าง และด้วยปัจจัยอื่น เช่น การเรียงตัวของฟันบนล่าง ขนาดของฟันด้านบนและด้านล่าง ความยาวของกระดูกกรามบนและเหงือก เพราะบางรายเมื่อเวลายิ้มแล้วเห็นเหงือก หากทำการผ่าตัดลดขนาดอาจทำให้เวลายิ้มแล้วเห็นเหงือกมากขึ้น หรือบางรายฟันมีขนาดเล็กไปหรือใหญ่ไปอาจต้องตรวจวัดฟัน หรือไปทำการรักษาที่กระดูกกรามเสียก่อน

           การ ผ่าตัดแพทย์จะเริ่มจากการทำความสะอาดบริเวณหน้า ริมฝีปาก ช่องปาก วาดรูปริมฝีปากใหม่ที่บางลงให้ผู้รับการผ่าตัดดูก่อน แล้วให้ทานยานอนหลับอย่างอ่อนและฉีดยาชา เพื่อลดความวิตกกังวลแล้วค่อยทำการผ่าตัด โดยการตัดริมฝีปากส่วนเกินออกตามที่ได้วาดรูปไว้ และเย็บแผลเก็บไว้ด้านในปากตลอดความยาวริมฝีปาก

           หลังผ่าตัดอาจมีอาการบวมที่ริมฝีปากประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ โดยเฉพาะ 3 วันแรกไม่ควรอ้าปากกว้าง พูดมากหรือยิ้มกว้าง ๆ และเพื่อลดอาการบวม ควรประคบด้วยความเย็นติดต่อกัน 48 - 72 ชั่วโมง ควรนอนให้ศีรษะสูงประมาณ 30 - 45 องศา ทานอาหารที่เป็นน้ำ ๆ ทำความสะอาดช่องปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก เพื่อลดการสะสมของเศษอาหารซึ่งอาจเป็นเหตุให้แผลติดเชื้อได้ อาการเจ็บเล็กน้อยจะค่อยดีขึ้น

           โบท็อกซ์ปรับโครงหน้าแรงจนต้องต่อคิวรอ

           นายแพทย์ รัสมิ์ภูมิ สุเมธีวิทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง โรงพยาบาลนครธน แจงว่า โครงหน้าที่เข้ารูปเรียวสวยงาม และไม่หย่อนคล้อยย่อมเป็นที่ปรารถนาของทุกคน ถ้าเป็นสมัยก่อนคงหนีไม่พ้นการศัลยกรรม ซึ่งส่วนมากคนไข้มักจะกลัวการผ่าตัด ไม่ต้องการพักฟื้น และกลัวว่าถ้าผ่าตัดออกมาไม่สวยจะแก้ไขก็ยากมาก แต่ปัจจุบัน Botulinum toxin เข้ามามีบทบาทมากในการปรับโครงหน้า และส่วนประกอบภายในหน้าให้สวยงามแลสมส่วนมากขึ้น โดยที่นอกจากปลอดภัยแล้ว ยังไม่ต้องพักฟื้น และไม่เสียเวลาอีกด้วย

           สาร Botulinum toxin ใช้ในการปรับกระชับหน้าให้ยกขึ้น โดยอาศัยหลักการที่ว่า กล้ามเนื้อบนใบหน้าเราจะมีกล้ามเนื้อ 2 ชุด จุดแรกเป็นกล้ามเนื้อดึงหน้าให้ยกขึ้น และอีกชุดเป็นกล้ามเนื้อดึงใบหน้าให้ตกลง ดังนั้นเราอาศัยหลักการนี้ในการปรับยกใบหน้า ด้วยการฉีดโบท็อกซ์ เพื่อให้กล้ามเนื้อที่ดึงหน้าลงทำงานน้อยลง ผลที่ตามมาคือกล้ามเนื้อที่ดึงหน้าขึ้นจะทำงานได้แรงมากขึ้น จึงส่งผลให้ใบหน้ายกกระชับขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบริเวณหางคิ้วที่หย่อนคล้อยให้ยกขึ้นแบบธรรมชาติ เปลือกตาที่ตกห้อยให้เปิดกว้างขึ้น ร่องแก้มที่ลึกก็จะแลดูตื้นขึ้น โหนกแก้มที่หย่อนคล้อยจะยกกระชับได้ มุมปากที่ตกห้อย ก็กลับยกกระชับขึ้น แก้มที่ตกหย่อนคล้อยตามอายุที่มากขึ้น ก็กลับไปยกกระชับได้อีกครั้ง ขอบกระดูกขากรรไกรที่ถูกแก้มที่คล้อยห้อยลงมาบังก็กลับมาเห็นเป็นแนวชัดขึ้น คาง 2 ชั้นที่เกิดจากผิวที่คล้อยลงไปกองที่คอก็ลดน้อยลง คอที่คล้อยก็กลับมากระชับเรียวงามมากขึ้น ซึ่งเดิมเราทราบอยู่แล้วว่า Botulinum toxin สามารถลดกล้ามเนื้อกรามให้หน้าเรียวเล็กลงได้ การที่ใช้เทคนิคยกกระชับด้วย Botulinum toxin นี้ก็เป็นอีกวิธีที่ทำให้หน้าดูเรียวเล็กลงได้

           เทคนิค ใหม่ในการฉีดสาร Botulinum toxin นี้นอกจากจะปรับหน้าให้เข้ารูป ให้สวยงามและดูอ่อนเยาว์แล้ว ยังช่วยปรับแต่งทรงคิ้ว ให้ได้รูปตามที่ต้องการไม่ว่าจะให้คิ้วโค้ง คิ้วโก่ง เปิดปลายคิ้วขึ้น หรือจะให้คิ้วที่โก่งกลายเป็นคิ้วตรง ก็สามารถทำได้เพื่อให้เข้ากับโครงหน้า และความต้องการของผู้รับการรักษา โดยต้องอยู่บนพื้นฐานให้แลดูสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ และต้องให้คิ้ว หรือโครงหน้า 2 ด้านเท่ากันมากที่สุด เพราะผู้รับการรักษาบางคนเดิมใบหน้า ทรงคิ้ว ทรงหน้า หรือทรงปาก 2 ด้านอาจไม่เท่ากัน ซึ่งการฉีด Botulinum toxin ต้องประเมินและดีไซน์การฉีดเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วย

           รู้จักสเต็มเซลล์จากเลือดเพื่อความงาม

           พญ.นันทภัทร์ สุภาพรรณชาติ อเมริกันบอร์ดด้านศัลยศาสตร์ผิวพรรณและเลเซอร์ผิวหนังประจำ apex profound beauty เมื่อเราถามคุณหมอไปว่า Stem Cell จากเลือด นำมาใช้เพื่อความงามได้จริงหรือ พญ.นันทภัทร์ สุภาพรรณชาติ กล่าวว่าตัวที่นำมาใช้ได้ง่าย ๆ ก็เห็นจะเป็นจากเลือดและจากไขมัน แต่โดย ปกติแล้วในร่างกายคนที่แข็งแรงทั่ว ๆ ไป ปริมาณ Stem Cell ที่วนเวียนอยู่ในกระแสเลือดจะมีปริมาณน้อย ดังนั้นการที่จะนำมาใช้ให้ได้ผลดี ก็ต้องมีการกระตุ้นให้เกิดเซลล์จำนวนมากขึ้น หรือใช้การเจาะเลือดแล้วนำ Stem Cell ไปเพาะเลี้ยงให้ขยายจำนวน เพื่อประโยชน์ในการรักษา ใน กรณีที่ต้องการนำมาใช้เรื่องความงาม เราสามารถดูดเลือดออกมาผสมกับสารกระตุ้น หรือที่เรียกว่า Growth Factor บางชนิดแล้วฉีดกลับไปบนผิวหนัง ซึ่ง Stem Cell นั้นก็จะทำหน้าที่ในการช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้เพิ่มขึ้นมาในบริเวณ ที่เราฉีดนั้น ทำให้ผิวพรรณดูสดใส อ่อนเยาว์ขึ้น เนื่องจากเซลล์ต้นกำเนิดเป็นเซลล์ที่มีชีวิตและสามารถทำให้เซลล์ผิวโดยรวม อ่อนเยาว์ขึ้นได้ ส่วนประสิทธิภาพหรือผลลัพธ์ที่ได้นั้น ก็อาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของสารกระตุ้นซึ่งมีมากมายในท้องตลอดกว่า 10 กว่า ชนิดซึ่งจะสามารถกระตุ้น Stem Cell ให้มากน้อยต่างกันไป


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

สวยทันใจด้วย โบท็อกซ์


ศัลยกรรม

สวยทันใจด้วยโบท็อกซ์ (Health plus )

          เชื่อว่าคุณผู้อ่านหลายท่านคงคุ้นเคยกับคำว่า Botox พอจะรู้ว่าโบท็อกซ์เป็นวิธีเสริมสวยลดริ้วรอย แต่อาจจะยังไม่เข้าใจว่าเขาทำกันได้อย่างไร

         
ก่อน อื่นเรามารู้จักกับโบท็อกซ์ก่อนนะคะ จะว่าไปแล้วนั้นโบท็อกซ์เป็นชื่อการค้าของตัวยาที่เรียกว่า โบทูลินัม ท็อกซิน (Botulinum toxin) พอพูดถึงท็อกซิน มันก็คือสารพิษอย่างหนึ่ง ความจริงแล้วต้นกำเนิดของตัวยาชนิดนี้ก็มาจากสารพิษที่แบคทีเรียชนิดหนึ่ง สร้างขึ้นมา มักจะพบในอาหารกระป๋องที่เน่าบูด เมื่อรับประทานเข้าไปมีผลให้สารนี้ไป ทำให้เกิดการคลายตัวหรือเป็นอัมพาตของกล้ามเนื้อผนังลำไส้ชั่วคราว จึงเกิดปัญหาท้องเสียอย่างรุนแรง เพราะกล้ามเนื้อลำไส้ไม่สามารถบีบรัดตัวไว้ได้
          ด้วย ความช่างสังเกตของแพทย์ จึงมีนายแพทย์ชาวแคนาดาคิดว่าในเมื่อสารชนิดนี้สามารถช่วยคลายกล้ามเนื้อ ลดการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อได้จึงน่าจะนำมารักษาคนไข้ที่มีปัญหาขยิบตา บ่อยๆ เป็นอัตโนมัติแบบห้ามไม่ได้ และก็พบว่า เมื่อฉีดเจ้าสารโบท็อกซ์เข้าไปให้กล้ามเนื้อบริเวณรอบดวงตาสามารถลดปัญหา กะพริบตาบ่อยเกินไปหรือตาขยิบตลอดเวลา และนับเป็นโชคดีของคุณผู้หญิงเรา ที่บังเอิญภรรยาของคุณหมอโรคตาท่านนี้เป็นแพทย์ผิวหนัง จึงได้ตั้งข้อสังเกตว่าถ้าเรานำสารชนิดนี้มาฉีดบริเวณกล้ามเนื้อที่เกร็งมาก จนปรากฏเป็นรอยขมวดคิ้ว ริ้วรอยที่หน้าผากจากการเลิกคิ้ว และรอยตีนกา ก็น่าจะได้ผลเช่นกันและเมื่อได้ทำการทดลองกับคนใช้หลายๆ ราย ก็พบว่าสารโบทูลินัม ท็อกซินนั้น เมื่อนำมาสกัดทำให้บริสุทธิ์ เจือจางให้ได้ความเข้มข้นที่เหมาะสม และนำกลับเข้าไปฉีดกล้ามเนื้อที่มีการเกร็งตัวผิดปกติ ก็จะช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ลดริ้วรอยได้ผลดี

          และนี่คือที่มาที่ไปของการนำสาร โบทูลินัม ท็อกซิน หรือเรียกย่อๆ ว่า โบท็อกซ์ มาใช้ลดริ้วรอยที่เกิดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อโดยเฉพาะรอยตีนการอบดวงตา รอยขมวดคิ้ว รอยย่นที่หน้าผาก ซึ่งนับว่าได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจ แต่สมัยแรกๆ นั้น คุณหมอชาวอเมริกันชอบฉีดในปริมาณเยอะๆ ทำให้หน้าเรียบกริบ จนไม่สามารถแสดงสีหน้าตามปกติได้ จะยิ้มก็ไม่เต็มที่ เพราะกล้ามเนื้อหดตึงไม่ได้ บางครั้งจึงดูเหมือนหน้าหลอกไม่เป็นธรรมชาติ หลังจากที่คุณหมอทั้งหลายมีประสบการณ์มากขึ้น ก็มีการปรับเปลี่ยนวิธีการฉีด ใส่ตัวยาน้อยลง เลือกเฉพาะกล้ามเนื้อที่แข็งเกร็งจริง ๆ คุณจึงสามารถขยับยิ้มได้ตามปกติ และมีริ้วรอยน้อยลง

          ใน ปัจจุบันยังมีเทคนิคการฉีดโบท็อกซ์เพื่อยกหน้า ซึ่งไม่ได้ฉีดเข้าไปในชั้นกล้ามเนื้อเหมือนโบท็อกซ์แบบเดิม แต่เป็นการเจือจางตัวยา และฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนัง เพื่อให้เกิดปฏิกิริยาไปกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสตินใน ชั้นหนังแท้ เมื่อผิวหนังชั้นนี้แข็งแรงขึ้น ผิวหน้าก็จะดูเรียบและยกกระชับขึ้นมาได้
          แต่ เทคนิคการฉีดโบท็อกซ์นั้น ใช่ว่าจะได้ผลยืนยาวไปตลอด ทั้งนี้ก็เพราะร่างกายเราจะตรวจเจอได้ว่า มีสารสิ่งแปลกปลอมเข้ามาสุดท้ายก็จะหาทางกำจัดออกไป การฉีดโบท็อกซ์จึงให้ผลในการลดริ้วรอย และยกกระชับผิวหน้า เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ 3-6 เดือน และก็ต้องกลับมาฉีดซ้ำใหม่ ปีหนึ่งจึงอาจต้องเติมโบท็อกซ์กันถึง 2-3 ครั้ง

          มี ข้อควรระวังบ้างเหมือนกัน คนส่วนใหญ่มักไม่แพ้สารโบทูลินัม ท็อกซิน แต่อาจจะมีบางคนที่มีปฏิกิริยาบวมแดงได้มากกว่าคนอื่นๆ เพราะโดยทั่วไปแล้วหลังจากฉีด อาจจะบวมแดงเพียงแค่ 1-2 วัน มีรอยฟกช้ำจากเข็มได้บ้างแต่ก็เป็นไปได้น้อย แต่บางครั้งหากคุณฉีดโบท็อกซ์จำนวนเยอะๆ บ่อยครั้ง ต่อเนื่องกันนานๆ ร่างกายเราอาจจะสร้างภูมิต้านทานขึ้นมา ทำให้สามารถกำจัดตัวยา ซึ่งเป็นเสมือนสิ่งแปลกปลอมออกไปจากผิวหนังและร่างกายเราได้เร็วขึ้น แทนที่จะได้ผลของโบท็อกซ์ยาว 5-6 เดือน ก็กลายเป็นว่าเดือนกว่าๆ ริ้วรอย ตีนกาก็กลับมาถามหาอีกแล้ว เพราะร่างกายเรามีประสิทธิภาพในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมนี้ได้ดียิ่งขึ้น พบปัญหานี้ไม่บ่อย ยกเว้นในคนที่ฉีดปริมาณมากๆ และบ่อยครั้งจริงๆ

          ความจริงการแก้ปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่น และหน้าหย่อนคล้อยด้วยการฉีดโบท็อกซ์นั้น นับเป็นวิธีที่ให้ผลรวดเร็วทันใจ เพียงแค่ 1-2 วันก็รู้สึกได้ถึงความตึงกระชับของผิว และริ้วรอยเหี่ยวย่นรอยตีนกาจางหายไปได้ในพริบตา เพียงแต่ผลไม่อยู่ยาว ดังนั้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพความงามทั้งหลาย จึงมักแนะนำให้คุณทำควบคู่ไปกับการใช้เลเซอร์บางชนิด ที่มีผลไปกระตุ้นให้ชั้นคอลลาเจนและอีลาสตินแข็งแรงคงทนอยู่ยาวๆ จึงจะเห็นผลในแง่ของการรักษาริ้วรอยเหี่ยวย่นและกระชับผิว ป้องกันความหย่อนยานของผิวหน้าอย่างเห็นผลในระยะยาว และที่ขาดไม่ได้ก็คือการใช้ครีมกันแดด SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป ป้องกันไม่ให้ผิวเสื่อมสภาพ จึงจะช่วยให้เห็นผลดียิ่งขึ้น


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

ที่มา หนังสือHealth plus No.46 ธันวาคม 2552

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศัลยกรรมความงามเปลือกตา

ศัลยกรรมตา

ศัลยกรรมความงามเปลือกตา
(สยามดารา)

          การผ่าตัดด้วยเลเซอร์ เป็นวิธีที่ทันสมัยที่สุด ในการทำศัลยกรรมเปลือกตา ในเวลานี้ คนทำตาสองชั้นมีให้เห็นกันแพร่หลาย มีหมอความงามในเมืองไทยกว่า 500 - 600 คน

          นอก จากเพื่อความงาม หรือบุคลิกภาพที่ดีกว่าเดิมแล้ว การทำศัลยกรรมเปลือกตา โดยเฉพาะทำตาสองชั้น ยังมีเหตุผลทางด้านสุขภาพด้วย เช่นผู้สูงวัยที่หนังตาหย่อนปิดทับการมองเห็น จำเป็นต้องศัลยกรรมแก้ไข เพื่อให้สายตา และการมองเห็นดีขึ้น ส่วนความสวยงามที่ตามมา ถือว่าเป็นของแถม

          ไม่ ว่าจะด้วยวิธีการเย็บแบบดั้งเดิม หรือการผ่าตัดด้วยเลเซอร์ที่ทันสมัย เพื่อให้ได้มาซึ่งตาสองชั้นสมใจนั้น คุณหมออรรถพันธ์ พรมณฑารัตน์ นายกสมาคมศัลยกรรม และเวชศาสตร์เพื่อความงามประเทศไทย แนะนำว่า ควรรอให้ถึงวัย 17 ปี ขึ้นไปก่อนค่อยทำ เพราะโครงสร้างกระดูก และผิวหน้าจะเริ่มคงที่ ถ้าศัลยกรรมตั้งแต่อายุยังน้อยกว่านี้ อีกหน่อยก็ต้องพึ่งหมออีก เพราะโครงสร้างหน้าเปลี่ยนไป ที่ศัลยกรรมเอาไว้อาจต้องรื้อหรือแก้ไขใหม่ และการศัลยกรรมเปลือกตา มีข้อห้ามสำหรับผู้ป่วยเรื้อรังบางโรค

          หลัง จากการทำศัลยกรรมเปลือกตา ถ้าดูแลสุขภาพอย่างดี เปลือกตาใหม่จะอยู่ได้นาน 7 - 8 ปี หรือนานกว่านั้น ที่สำคัญเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัย และได้ผลจริง ก่อนตัดสินใจเข้ารับบริการ ต้องทำการบ้านอย่างดีเสียก่อน และเพื่อพัฒนาความรู้แก่แพทย์ และพัฒนาการให้บริการแก่ประชาชนอย่างถูกต้อง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS